“ไข้เลือดออก” อาการเป็นอย่างไร มีวิธีรักษา และป้องกันอย่างไร?
ไข้เลือดออกคืออะไร ไข้เลือดออกเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่รุ […]
ไข้เลือดออกคืออะไร
ไข้เลือดออกเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่รุนแรงจากยุงสายพันธุ์ Aedes ไวรัสนี้มี 4 สายพันธุ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละสายพันธุ์สามารถทำให้เกิดโรคได้มากกว่าหนึ่งครั้งในแต่ละบุคคล อาการของไข้เลือดออกมีตั้งแต่ไข้ อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ไปจนถึงอาการที่เป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น ภาวะช็อกและเลือดออก
อาการของไข้เลือดออก
ระยะฟักตัวของไข้เลือดออกอยู่ระหว่าง 4 ถึง 10 วัน หลังจากถูกยุงที่ติดเชื้อกัด อาการของไข้เลือดออกโดยทั่วไปจะมีดังนี้
- ระยะไข้เฉียบพลัน: ระยะนี้จะกินเวลา 2-7 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อและข้อ ปวดกระบอกตา และอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียได้
- ระยะวิกฤต: ระยะนี้จะกินเวลา 24-48 ชั่วโมง อาการไข้จะลดลง แต่ผู้ป่วยอาจมีอาการแย่ลง เช่น มีเลือดออกตามผิวหนัง จ้ำเขียวช้ำง่าย เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้
- ระยะพักฟื้น: ระยะนี้จะกินเวลา 4-6 วัน อาการต่างๆ จะค่อยๆ ดีขึ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น และปัสสาวะบ่อยครั้ง
วิธีรักษาไข้เลือดออก
การรักษาไข้เลือดออกจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ในกรณีที่รุนแรง ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อให้สารน้ำและยาเพื่อลดอาการไข้และปวด นอกจากนี้ยังอาจต้องได้รับการถ่ายเลือดหากมีภาวะเลือดออกมาก การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การใช้ยาต้านไวรัสและการรักษาด้วยสมุนไพรยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย
วิธีป้องกันไข้เลือดออก
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไข้เลือดออกคือการควบคุมยุง ซึ่งสามารถทำได้โดย
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง เช่น แหล่งน้ำขัง จานรองกระถางต้นไม้ และยางรถยนต์เก่า
- ปิดภาชนะใส่น้ำให้มิดชิด
- ใช้มุ้งกันยุงเมื่อนอนหลับ
- สวมเสื้อผ้าแขนยาวและขายาวเมื่อออกนอกบ้าน
- ใช้สารไล่ยุง
- ฉีดพ่นยาฆ่าแมลงในบริเวณที่ยุงชุกชุม